วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เที่ยวไปในเมืองโบราณ - สมุทรปราการ


"เมืองโบราณ"   ที่ที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดี  เพราะเป็นที่เที่ยวอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ  สามารถไปเที่ยวได้ภายในวันเดียว โดยเฉพาะตัวผมเอง ที่เมืองโบราณแห่งนี้ห่างจากบ้านผมไม่ไกล ทำให้การมาเยือนสถานที่แห่งนี้ ปาเข้าไปครั้งที่ 7 หรือ 8 ครั้งเข้าไปแล้ว  แต่การมาทุกครั้งก็ยังประทับใจ ทั้งสถานที่สำคัญของจังหวัดต่างๆ ถูกมารวมไว้ในที่เดียวกัน ธรรมชาติต้นไม้ก็แสนรื่นรมย์ และที่สำคัญที่สุด โดยส่วนตัวผมความศรัทธาต่อความมุ่งมั่น ตั้งใจ จะรักษาศิลปวัฒนธรรมไทยของท่านผู้สร้างคุณเล็ก วิริยะพันธ์  และผลงานชิ้นเอกของท่านแห่งนี้ แสดงให้เห็นอย่างที่ท่านตั้งใจไว้อย่างเต็มเปี่ยมทีเดียว


สนั่น ศิลากรณ์






















การเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ยากเลย เพียงขังรถกินลมชมวิวเรื่อยเปื่อยไปตามถนนสุขุมวิท สายเก่า มุ่งสู่บางปู ก่อนถึงบางปูหน่อยเดียว จะมองเห็นสะพานข้ามคลองที่มีป้ายสีแดง ตกแต่งด้วยลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ แสดงให้เรารู้ว่า อีกไม่กี่อึดใจ เราจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งศิลปกรรมไทย ที่เราในฐานะคนไทย น่าจะได้ร่วมกันภาคภูมิใจ และสามารถนำเสนออวดแขกบ้านแขกเมืองได้อย่างไม่อายใคร

ส่วนการเดินทางโดยรถสาธารณะก็ทำได้โดยนั่งรถ ปอ. 511 (สายใต้ใหม่-ปากน้ำ) ลงสุดสายที่ตัวปากน้ำแล้วต่อสองแถวสาย 36 ผ่านหน้าเมืองโบราณเลยละครับ

สมุทรปราการ


เมืองโบราณเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-17.00 น. ค่าเข้าชมล่าสุดขึ้นมาเป็น 350 บาท (ดูเหมือนจะขึ้นมาเรื่อยๆ จำได้สมัยก่อนร้อยหรือสองร้อยบาทเอง) ส่วนผมคนปากน้ำได้ลดราคาไป 100 บาท เหลือ 250 บาท ราคานี้รวมค่าบริการจักรยาน - รถราง - นั่งเรือชมเมืองโบราณ แล้วแต่จะเลือกได้ตามสะดวก
จะว่าไปผมชื่นชมกับแนวคิดที่ให้คนท้องถิ่นได้รับส่วนลดจังครับ ไม่ใช่เห็นแก่ของถูกนะครับ แต่มันสร้างความรู้สึกมีส่วนร่วม ส่วนภาคภูมิใจ และหวงแหนในสามารถพูดได้ว่าเป็นหน้าตาของชาวปากน้ำอีกสถานที่หนึ่ง และอยากเห็นทุกจังหวัดมีแบบนี้บ้างนะครับ

เมื่อได้ตั๋วพร้อมแผนที่ลายแทงเรียบร้อย ตรงดิ่งไปเลือกจักรยานที่ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพที่ผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน แต่มันเป็นตัวช่วยที่ดีในการเที่ยวเมืองโบราณ เพราะซอกแซกไปได้แทบทุกที่ เพราะคงไม่มีใครคิดจะเดินเที่ยวแน่ๆ ได้เดินกันรากเลือดแน่ๆ 555

สมุทรปราการ






















ส่วนนี่คืออีกทางเลือกหนึ่ง รถรางทรวดทรงย้อนยุค ได้บรรยากาศดีแถมมีไกด์แนะนำเกร็ดความรู้ในแต่ละสถานที่ด้วย แต่ก็มีข้อจำกัดอาจลงไปเที่ยวบางจุดไม่ได้หนำใจ

สมุทรปราการ






















ก่อนเข้าไปชมข้างในแวะไหว้พระพรหม ที่ พระแท่นที่ประทับ กันก่อน เป็นสถานที่หมายเลข 1 ที่ระบุไว้ในแผนที่เมืองโบราณที่ได้รับมาพร้อมการซื้อบัตร วันที่ไปแม้อากาศจะร้อนสุดๆ แต่รอบบริเวณแถวนี้ต้นไม้เยอะ บรรยากาศเลยร่มรื่นดีทีเดียว

พระพรหม






















สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่สิ่งแรกที่เรามาพบหลังผ่านประตูของเมืองโบราณ คือ พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช สีขาวเด่นตั้งอยู่ริมทาง และบรรยากาศสีเขียวโดยรอบ

นครศรีธรรมราช






















ปั่นจักรยานต่ออีกนิดเดียว ยังไม่ทันเมื่อยก็ถึง พระบรมธาตุไชยา แล้ว คนที่เคยไปชมพระธาตุองค์จริงที่สุราษฎร์มา อาจจะแปลกตากับรูปลักษณ์และสีสันที่ค่อนข้างต่างกัน แต่นั่นแหละที่ทำให้พระธาตุของเมืองโบราณแห่งนี้น่าสนใจ เพราะเป็นการสร้างจากการศึกษาทางประวัติศาสตร์ว่าต้นแบบของพระธาตุองค์ดั้งเดิมก่อนกการบูรณะครั้งใหญ่ในช่วงรัตนโกสินทร์ คือเจดีย์จันทิเมนดุท ในชวา ซึ่งเมืองโบราณใช้เป็นต้นแบบในการสร้าง

สุราษฎร์ธานี






















บริเวณตรงข้ามพระบรมธาตุไชยา เป็นที่ตั้งของ ตลาดโบราณ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแห่งที่ผู้เข้ามาเมืองโบราณไม่ควรพลาด เพราะสามารถเข้าไปซึมซับบรรยากาศความเป็นอยู่ของผู้คนเมื่อครั้งอดีตได้เป็นอย่างดี ผู้สร้างประทับใจในบรรยากาศของตลาดเก่าที่จังหวัดตาก และบ้านเรือนแถวกำแพงเพชร จึงได้หาบ้านเรือนจริงเข้ามาปลูกสร้าง แต่บ้านเก่าส่วนใหญ่เหล่านี้ใด้จากชุมชนโบราณในกรุงเทพนี่เอง

ตลาดบก






















ภายในตลาดนอกจากมีของกินของใช้ให้ได้เลือกซื้อ ยังมีบ้านเรือนให้ชมอีกหลายที่ อย่างร้านตัดผมแบบดั้งเดิม ที่หาชมได้ยากแล้วในปัจจุบัน

ร้านตัดผม

สิ่งที่น่าประทับใจอีกอย่างในเมืองโบราณ คือไม่ใช่การปลูกสร้างสิ่งต่างๆ เพียงเพื่อเลียบแบบ แต่ยังใส่ใจในเรื่องการตกแต่งภายในให้เหมือนจริง อย่างข้าวของเครื่องใช้ ล้วนเป็นของเก่าหายาก แสดงว่าท่านผู้สร้างนี่เป็นนักสะสมตัวยง เพราะล้วนแต่ประเมินค่าไม่ได้จริงๆ

ของเก่า
ตัวละครหุ่น ที่อยู่ในเรือนที่จัดให้เป็นโรงละคร มีให้ชมมากมาย ละลานตา แต่ชมๆ ไปในบรรยากาศเงียบๆ มีแอบๆ หลอนอยู่เหมือนกันนะ

หุ่นเชิด
แค่ได้มาชมบรรดาของตกแต่งเหล่านี้ ก็คุ้มเกินค่าตั๋วแล้วมั้งครับ

ของสะสม






















ที่ต่อมาคือ ศาลาการเปรียญ วัดใหญ่สุวรรณาราม จ.เพชรบุรี ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีความสำคัญตรงที่เป็นการจำลองตำหนักไม้สักทั้งหลังของพระเจ้าเสือ ได้ถวายแด่สมเด็จเจ้าแตงโม องค์สังฆราชในสมัยนั้น

วัดสุวรรณาราม






















บรรยากาศภายใน เงียบสงบ บริเวณด้านหลังองค์พระพุทธรูป มีงานไม้แกะสลักชิ้นใหญ่ที่วิจิตรงดงามมาก มีโอกาสอย่าลืมแวะไปชมนะครับ

เพชรบุรี






















พิเศษอีกหน่อยบริเวณใต้ถุนศาลาการเปรียญ จะพบกับห้องทำงานที่เรียบง่ายของคุณเล็ก ที่ท่านได้ใช้ในช่วงที่มีอายุอยู่ เพื่อคุมงานก่อสร้างภายในเมืองโบราณ

สมุทรปราการ






















บริเวณเดียวกันเป็นหอระฆัง แบบยุคเก่าที่สร้างจากไม้ โดยเป็นการผาติกรรมมาจากวัดใหญ่ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม

บางคนที

สถานที่ต่อมา ส่วนตัวแล้วเซอร์ไพรซ์กับความงามสุดๆ ทั้งๆ ที่ผมเองเคยไปเมืองโบราณหลายรอบ ผ่านอาคารเล็กๆ สีขาว ที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร จึงไม่เคยแวะเลย จนวันหนึ่งเข้าไปดู Website ของเมืองโบราณ ตะลึงกับความงามที่ได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถัน ทั้งจิตกรรมฝาผนัง และของตกแต่งต่างๆ ความรู้สึกแรกเลยคือ ผมพลาดมานานมาก คราวนี้บอกตัวเองตั้งแต่ก่อนไปว่าจะไม่พลาดซ้ำอีกแน่ๆ และขอรับประกันว่าที่นี่คุ้มค่าแก่การแวะเยี่ยมชมแน่ๆครับ

ธนบุรี






















จุดแรกเป็นส่วนตรงนี้จำลองที่ว่าราชการในสมัยนั้น ดูเคร่งขรึม น่าเกรงขามจริงๆ

ธนบุรี

การตกแต่งภายในใช้ศิลปะไทย ผสมผสานกับกลิ่นอายของจีนได้อย่างลงตัว

ธนบุรี

บรรดาของตกแต่ง ดูเป็นของเก่าที่ล้ำค่า แม้สถานที่ไม่ได้กว้างขวางมากนัก แต่ผมก็ใช้เวลาอยู่ภายใน หามุมถ่ายรูปเรื่อยเปื่อย นานเลยครับ











ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ก็งดงามน่าชมจริงๆ























เรือนทับขวัญ (เรือนไทยทวารวดี) เป็นเรือนไทยที่สร้างตามแบบเรือนทับขวัญที่พระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม เป็นเรือนไทย 8 หลังที่มีชานเดินถึงกันได้ตลอด ที่เรียกว่าเรือนทวารวดี เนื่องจากได้เลียนแบบปั้นลมให้เป็นรูปตัวเหงากระหนก แบบเดียวกับปั้นลมของปราสาท ซึ่งพบในจำหลักบนใบเสมาสมัยทวารวดีนั่นเอง

ตัวเรือนไทยยังหลังนี้ยังแสดงให้เห็นระบบการก่อสร้างของไทยเมื่อครั้งโบราณ ที่ไม่ใช้ตะปูสักดอก แต่ใช้การเจาะรูเข้าเดือย และใช้ไม้สลักอย่างน่าทึ่ง จุดเด่นของเรือนไทยที่เป็นลานกว้างกลางบ้าน เดินถึงกันได้ตลอดนี้ คงทำให้เรามองเห็นสภาพชีวิตโบราณที่มีความผูกพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นในครอบครัวได้เป็นอย่างดี























เครื่องเรือนที่จัดแสดง ล้วนแต่สร้างบรรยากาศ ให้รู้รู้สึกเหมือนย้อนไปร่วมสมัยด้วย ยิ่งมาในวันธรรมดา
ที่เงียบเหงาแบบนี้ มันได้อารมณ์จริงๆ


ถัดมาไม่ไกลเราจะได้พบเรือนไทยอีกหลัง ที่งดงามไม่แพ้กัน แต่หลังนี้มีท่าน้ำให้ได้บรรยากาศไปอีกแบบ คือ คุ้มขุนแผน เป็นการถ่ายแบบของศิลปะสมัยอยุธยา 



จากบ้านทรงไทย เรามาชมวังกันบ้างที่ พระที่นั่งสรรเพชรปราสาท ซึ่งพระที่นั่งแห่งนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์ หรือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโบราณเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นการจำลองพระราชวังในสมัยอยุธยาที่สร้างขึ้นในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ และถูกทำลายลงแทบไม่เหลือในช่วงเสียกรุงศรีอยุธยา ทางเมืองโบราณได้สร้างพระที่นั่งแห่งนี้ขึ้น โดยการค้นคว้าจากหลักฐานดั้งเดิมทั้งของไทยและต่างชาติ เพื่อให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด 
อีกทั้งยังเป็นการรวบรวมรูปแบบศิลปะสมัยอยุธยาจากแหล่งต่างๆ เช่น โครงสร้างเครื่องยอดหลังคา ได้รูปแบบมาจากวิหารสัดพระพุทธชินราช จ. พิษณุโลก หลังคาดีบุก จากหลังคาพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ ในพระบรมมหาราชวัง ช่อฟ้า ใบระกา จากวัดโพธิ์ ทวย ได้จากวัดศาลาปูน จ.อยุธยา ซุ้มประตูหน้าต่าง จากวัดบันไดอิฐ จ.เพชรบุรี และวิหารหลวงวัดมหาธาติ จ. นครศรีธรรมราช สิงห์ที่ประดับหน้าบันไดทางเข้าจากวัดธรรมิกราช จ. อยุธยา


ความสำคัญของอย่างของพระที่นั่งในเมืองโบราณแห่งนี้ คือ พรเจ้าอยู่หัวของเรา ทรงใช้เป็นที่รับรองสมเด็จพระนางเจ้าอลิซาเบท ที่ 2 และพระราชสวามี เมื่อวันที่ 12 กพ. 2515 ซึ่งเมืองโบราณถือว่าเป็นวันสิริมงคล จึงถือเป็นวันเปิดเมืองโบราณต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก อย่างเป็นทางการ
























ภายในตัวปราสาทก็ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม





หากมายืนด้านหน้าพระที่นั่งสรรเพชรปราสาท มองออกไปจะเห็นมุมนี้ ยอดสีทองคือ มณฑปพระพุทธบาท สระบุรี สร้างตามสถาปัตยกรรมอยุธยา โดยสร้างครอบรอยพระพุทธบาทที่อยู่บนยอดเขา ตามตำนานเล่าว่าในสมัยพระเจ้าทรงธรรมแห่งอยุธยา มีนายพรานล่าเนื้อยิงเนื้อจนได้รับบาดเจ็บ ขณะตามไปได้เจอกวางตัวนั้นกินน้ำในแอ่งเล็กๆ แล้วบาดแผลก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ นายพรานไปดูจึงพบว่าที่แห่งนั้นเป็นรอยพระพุทธบาทนั่นเอง


พระพุทธบาท สระบุรีเองก็ผ่านระยะเวลามาเป็นร้อยปี จึงผ่านการบูรณะหลายครั้ง แต่องค์จำลองที่เมืองโบราณนี้ สร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากนิราสพระบาทของสุนทรภู่























ระหว่างเดินชมก็นึกไปว่า พระพุทธบาทอยู่สระบุรีตรงนี้เอง ผ่านทางเข้าก็หลายครั้ง แต่ทำไมเราไม่เคยได้เข้าไปชมองค์จริงเลย จึงเปรียบเทียบความเหมือนหรือความงามกันไม่ได้ แต่การตกแต่งของที่นี่ก็สวยไม่น้อยเลยครับ






ภาพบนบานประตู สีมุกที่สะท้อนกับแดด ผสานกับลวดลายละเอียด สวยงามจริงๆ
























อีกฟากหนึ่งของพระที่นั่งสรรเพชรปราสาท เราจะมองเห็นพระที่นั่งสีขาว รูปทรงงดงามสะดุดตา คือ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เป็นปราสาททรงจตุรมุข สร้างขึ้นในสมัยรัชการที่ 1 ใช้เป็นที่ว่าราชการและประกอบพระราชพิธีสำคัญ มีความสูงใหญ่เทียบเท่าพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา








ทางเมืองโบราณได้สร้างปราสาทหลังจาก อ้างอิงจากรูปภาพ จดหมายเหตุ พงศาวดารประวัติศาสตร์และโบราณคดี เพื่อให้ตรงกับรูปแบบการสร้างครั้งแรก เพราะพระที่นั่งองค์จริงเคยผ่านการบูรณะทั้งหลังในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชการที่ 6 

ความน่าสนใจที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งคือการชมด้านใน เพราะเราจะได้พบกับเสาหารและซุ้มเรือนแก้วสีทองอร่าม ที่นอกจากจะสวยงามแล้ว ยังทำหน้าที่รับน้ำหนักของส่วนหลังคาไม่ให้ทลายลงมา แต่ปัจจุบันองค์จริงได้รื้อออกจนหมดแล้ว หรือจะเป็นภาพจิตกรรมฝาผนังเรื่องพระราชกรณียกิจของรัชการที่ 1 ทั้งด้านการปกครอง การศาสนา การสงคราม และการติดต่อกับต่างประเทศ ที่ถูกเขียนขึ้นด้วยกรรมวิธีแบบโบราณ ซึ่งไม่ค่อยมีแล้วนับตั้งแต่ช่วงรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา

เรามาถึงสิ่งก่อสร้างอันสวยงามอีกแห่งของเมืองโบราณแล้วครับ หอพระแก้ว มีลักษณะเป็นหอแปดเหลี่ยม ลวดลายวิจิตรงดงาม สร้างขึ้นตามแบบภาพสลักบนบานประตูตู้พระธรรมสมัยกรุงศรีอยุธยา

สถานที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นที่รวบรวมสมบัติล้ำค่า โดยเฉพาะบรรดาพระพุทธรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเครื่องราชบรรณาการในช่วงที่กรุงศรีอยุธยาแผ่อำนาจไพศาลไปตามที่ต่างๆ จึงเก็บรวบรวมไว้เพื่อให้คนบูชาและเป็นศูนย์รวมจิตใจ

ทางเมืองโบราณ นอกจากสร้างตามแบบอย่างงดงามแล้ว วัตุประสงค์ที่ใช้ยังคงลักษณะเช่นเดิม จึงมีการเก็บพระพุทธรูปใหญ่น้อย หลากหลายปาง ให้ผู้เข้าเยี่ยมชมได้สักการะบูชาเช่นกัน


บนเพดานของยอดโดมที่หอพระแก้ว ลวดลายและสีสันสวยงาม




ดอกบัวในถ้วยขนาดเล็กเรียงรายไว้ให้ผู้ผ่านไปมาใช้ถวายพระ


ในหอองค์เล็กตั้งอยู่กลางน้ำ ได้สัมผัสสายลมเย็นที่พัดผ่านน้ำ มาลัยริมหน้าต่างพัดไหวๆ ทำให้การท่องเที่ยวในวันร้อนๆ เย็นสดชื่นขึ้นได้มากเลยครับ


ภายในมีตู้พระธรรมที่ได้รับการสลักไม้ลวดลายละเอียดยิบให้เราได้ชื่นชมด้วย


ตลาดน้ำ เป็นอีกสถานที่หนึ่งของเมืองโบราณ ที่ทำให้ความตั้งใจของผู้สร้างเปลี่ยนไป ที่จากเดิมตั้งใจสร้างเพียงเมืองจำลอง ให้คนได้เข้ามาเที่ยวกัน กลายเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ทรงคุณค่า เพราะเป็นการรวบรวมบ้านเรือน สถานที่สำคัญทางจิตใจของทุกศาสนามารวมไว้ เป็นหมู่บ้านริมน้ำ ที่ได้สะท้อนให้เห็นความเป็นอยู่ของคนไทยในสมัยโบราณ ที่มีสายน้ำเหมือนเป็นสายเลือดใหญ่ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย เป็นที่ทำมาหากิน

ในสมัยโบราณเรือที่วิ่งผ่านไปมานั้น ไม่ได้มีเรือที่ใช้เครื่องยนต์ในปัจจุบัน การสร้างบ้านเรือนจึงไม่ได้สร้างเหนือจากผืนน้ำมากนัก เพราะไม่ต้องกลัวน้ำซัดเข้ามา มาซึมซับบรรยากาศแล้ว นึกถึงความเรียบง่าย และร่มเย็นของสมัยนั้นได้ดีเลย


และการได้มาชิมอาหารจากบรรดาแม่ค้าที่พายเรือมาขายของกินนานาชนิด หรือแม้แต่ร้านที่ริมน้ำ มันเป็นการนั่งกิน นั่งชมที่น่าสนใจจริงๆ


จากนั้นก็เดินลัดเลาะตามสะพานยาวที่ทอดตัวเหนือน้ำ เดินเล่นให้ทั่วบริเวณตลาด ที่มีสิ่งที่น่าชมมากมาย

แต่ที่ผมอยากแนะนำคือ ลองเดินหาร้านค้าสมัยโบราณต่างๆ อย่างร้านขายยา หรือบรรดาโบสถ์คริสต์ มัสยิดอิสลาม ศาลเจ้า และวัดของพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อเข้ามาชมที่ตลาดโบราณแห่งนี้

อุทยานเทวโลก เป็นที่รวมของประติมากรรมสำริดรูปเทพเจ้าต่างๆ ในลัทธิฮินดู ที่เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อไทยเรามาแต่โบราณ สำน่าสนใจใจของที่นี่นอกจากความงามของธรรมชาติ และบรรดางานประติมากรรมแล้ว ยังเป็นการชมงานชิ้นสำคัญของ อ.สนั่น ศิลากร ศิลปินผู้เป็นศิษย์ของ อ.ศิลป พีระศรีด้วย

ก่อนเข้าสู่อุทยานเทวโลก จะเลือกนั่งชมความงามตรงศาลากลางน้ำก่อนก็ได้นะครับ

ประติกรรมฝีมือ อ.สนั่น ศิลากร มีอยู่หลายที่ ใหญ่เล็กต่างกัน ล้วนแต่สวยงามทั้งนั้น 

ด้วยการจัดสวน เป็นฉากประกอบที่ยิ่งให้ที่นี่น่าแวะเยี่ยมชมมากๆ ครับ

บรรดาดอกไม้หลากพันธุ์ หลากสีสัน บรรยากาศสดชื่น



ที่เมืองโบราณมีที่ให้เที่ยว และน่าสนใจมากมาย เอาจริงๆ ผมว่าวันเดียวถ้าจะเที่ยวให้ครบนี่เป็นไปได้ยากมาก ขึ้นอยู่กับทางเลือกว่าอยากได้บรรยากาศก็เที่ยวช้าๆ น้อยๆ ที่ แต่ถ้าอยากเห็นให้ทั่วๆ ก้ต้องทำเวลาการหน่อย ตอนนี้ผมมาโผล่ที่ หมู่บ้านไทยภาคเหนือ แล้วครับ


สัมผัสแรกคือได้ยินเพลงคำเมือง แว่วมาแต่ไกล เป็นการแต่งแต้มบรรยากาศได้ดีจริงๆ ถ้าใครอยากสัมผัสกลิ่นอายความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นรับรองไม่ผิดหวังแน่ๆ ครับ

ดอกไม้สีสวยเด่นอยู่บริเวณทางเข้าเรือนภาคเหนือ

ปิดท้ายภาคเหนือด้วยสถานที่ที่ไม่แวะไม่ได้นะครับ วัดจองคำ ลำปาง ที่บอกว่าไม่แวะไม่ได้ เพราะที่นี่เป็นสิ่งก่อสร้างของจริงที่ทางเมืองโบราณได้ผาติกรรมมาจาก อ.งาว จ.ลำปาง เป็นวัดไทใหญ่ ที่มีลักษณะเด่นคือ เขตพุทธาวาสและเขตสังฆทานเชื่อมต่อในอาคารเดียวกัน ลักษณะอาคารสร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง หลังคาเป็นชั้นทรงสูง งานไม้สลักฝีมือของช่างภาคเหนือที่งดงาม



พระพุทธรูปไม้แกะสลักตามศิลปะไทใหญ่ ที่สวยงามกลมกลืนกับสิ่งก่อสร้างอย่างลงตัว เหมาะแก่การสักการะเพื่อเป็นสิริมงคลเมื่อเข้ามาเที่ยวเมืองโบราณนะครับ

เจ้าสองตัวนี้ ไม่เกี่ยวกับวัด แต่เห็นเดินเล่นอยู่แถวนั้นน่ารักดี























ผ่านถึงมาบริเวณป่าเจดีย์ที่ได้รวบรวมเจดีย์ในยุคสมัยที่แตกต่างกัน ให้เราสามารถเข้าไปศึกษาลักษณะพิเศษของเจดีย์แต่ละองค์ แต่ผมว่ามุมที่มองผ่านน้ำ เห็นเจดีย์ใกลๆ นี่บรรยากาศดีจังครับ




ปราสาทพระวิหาร ที่มีประเด็นกันอยู่ ทำให้เราได้ยินชื่อบ่อยครั้งในช่วงนี้ เป็ฯศาสนสถานในคติฮินดูไศวนิกาย สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 โดยปราสาทเรียงขึ้นไป 4 ระดับ ชั้นบนสุดริมหน้าผาเป็นปราสาทที่ประดิษฐานศิวลึงค์สัญลักษณ์แทนพระศิวะ























สิ่งที่น่าสนใจและน่าทึ่งของปราสาทเขาพระวิหารที่เมืองโบราณแห่งนี้ คือความตั้งใจและพยายามในการสร้าง เพราะเป็นการเนรมิตเขาขึ้นมาใหม่ เขาที่สูง 54 เมตร ยาว 250 เมตร กว้าง 66 เมตร ใช้เสารับ 684 ต้น ใช้หินธรรมชาติถึง 250 เที่ยวรถสิบล้อ ใช้ดินที่ขุดจากพื้นที่ 40 ไร่ มาปกคลุม



ปราสาทอีกแห่งที่น่าสนใจคือ ปราสาทหินศีขรภูม จ.สุรินทร์ เป็นกลุ่มปราสาท 5 หลังที่อยู่บนฐานเดียวกัน เป็ฯสาสนสถานในศาสนาฮินดู สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 17

ก่อนออกจากภาคอิสานแวะชมอีกสักที่ที่ พระธาตุพนม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นศูนยืรวมจิตใจของไทย-ลาว สองฝั่งโขง ที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่บรรจุพระอุรังคธาตุ โดยองค์ที่เมืองโบราณจำลองมานี้ เป็นรูปแบบของเองคืเดิมเมื่อแรกสร้างก่อนการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยรัตนโกสินทร์



มาถึงส่วนสุดท้ายของเมืองโบราณ ที่เรียกว่าส่วนปลายนา เพราะเป้นการก่อสร้างหลังสุด ช่วงปลายชีวิตของคุณเล็ก วิริยะพันธ์ หลังจากได้สร้างสถานที่สำคัญจากทั่วเมืองไทย ท่านได้เกิดความรู้สึกอยากรังสรรค์สิ่งใหม่ ที่เกิดจากการเรียนรู้มาก่อนหน้า จึงได้จากสิ่งก่อสร้างหลากหลายจากความเชื่อศาสนา ปรัชญา และสั่งสมความรู้ทางศิลปะมาตลอดการสร้างเมืองโบราณ

บรรดาสิ่งก่อสร้างอันสวยงามเหล่านี้มีมากมาย แต่ผมขอเลือกพาชมแค่ 2 ที่ ที่แรกคือศาลารามเกียรติ เป็นศาลาสร้างกลางหนองน้ำ ภายในเขียนภาพเรื่องราวรามเกียรติ























รามเกียรติ เป็นวรรณกรรมศักดิ์สิทธิ์ ที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย แก่นแท้ของเรื่องก็เพื่อเชิดชูพระเกียรติคุณของพระมหากษัตริย์ที่ทรงประพฤติเสมือนเทพเจ้าในการขจัดยุคเข็ญแก่โลก และจรรโลงคุณธรรมนั่นเอง หากใครสนใจวรรณคดีเรื่องนี้อยู่แล้ว การเที่ยวชมศาลารามเกียรติจะยิ่งเพิ่มรสชาติการเที่ยวได้ดียิ่งขึ้นเลยครับ





และมาถึงที่สุดท้าย ที่ผมพูดได้เต็มปากเลย ว่าที่นี่ถือเป็นไฮไลท์ของเมืองโบราณเลยก็ว่าได้ ศาลาพระอรหันต์ อาคารกลางน้ำหลังคาสีเหลือสลับเขียว และสะพานทอดยาวจากฝั่งสู่ศาลาสีทองอร่ามสะดุดตาแต่ไกล























ศาลาแห่งนี้คุณเล็กผู้สร้างได้นำศิลปะไทย จีน และพม่า มาผสมผสานกันอย่างสวยงาม























หลายๆครั้งเราจะเห็นรูปอาคารแห่งนี้ เราสามารถบอกได้เลยว่าที่นี่คือเมืองโบราณ ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้น ฝรั่งเองอย่างรายการ American Next Top Model Season 6 เคยเนรมิตรที่นี่ให้เป็นรันเวย์ สำหรับการเดินแบบผู้เข้ารอบสองคนสุดท้าย และประกาศผลชนะเลิศของ season นี้ ที่เมืองโบราณนี่เอง จากครั้งนั้นเรียกได้ว่าเป็นเวทีเดินแบบที่ยิ่งใหญ่อลังการที่สุดเท่าที่รายการเคยทำมาเลย























ลวดลายไม้แกะสลักที่ทาทับด้วยสีทอง ยิ่งดูน่าสนใจมากขึ้น
























ตรงกลางศาลามีรูปไม้สลักพระอรหันต์อันเป็นที่มาของชื่อศาลาแห่งนี้ตั้งอยู่ 






















อีกส่วนหนึ่งมีซุ้มพระพุทธรูปที่เงียบสงบตั้งอยู่ด้วยเช่นกัน























และแน่นอนศาลาแห่งนี้ เป็นความประทับใจส่วนตัวอีกแห่งหนึ่ง ที่แม้ผมไปเมืองโบราณกี่รอบต่อกี่รอบ ก้อดจะมาชมความงาม มานั่งพักรับลม ที่นี่ไม่ได้สักครั้ง























และแล้วเราก็เสร็จสิ้นจากการตระเวณเที่ยวเมืองโบราณ แบบเสียเหงื่อหมดแรงแลกมา แต่เป็นความคุ้มค่า ที่เราได้ชมความงามในหลากหลายรูปแบบ และภาคภูมิใจกับศิลปไทยแขนงต่างๆ สำหรับคนที่มีเวลาน้อย และไม่มีโอกาสได้ไปสถานที่จริงแบบครบๆ แล้ว ที่นี่เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ เลยละครับ




1 ความคิดเห็น: